เทศน์พระ

ผู้วิเศษ

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๕

 

ผู้วิเศษ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอานะ...ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเวลาทางโลกเขาปรารถนามาก แล้วหวังมากด้วย หวังว่าพระบวชเป็นพระแล้ว ต้องเป็นพระที่ดี ฉะนั้นเวลาเราบวชพระแล้วจะรู้เลยว่าดีหรือไม่ดี เวลาบวชขึ้นมาเห็นไหม บวชจากฆราวาสมาเป็นพระ นี่ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาสอ่อนๆ คำว่า “อ่อนๆ” ของเขาเห็นไหม เขาก็ว่าของเขาทำปฏิบัติแล้วได้ผลของเขา พอได้ผลของเขา ฆราวาสธรรม แต่เรามาบวชเป็นพระนี่จากฆราวาสมาเป็นพระ ก็คนนั่นแหละ มนุษย์นั่นแหละ

มนุษย์เวลาเป็นฆราวาสเห็นไหม เป็นฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรมหมายถึงว่าธรรมะของฆราวาสเขา ธรรมะของฆราวาสเขา ศีล ๕ ศีล ๘ เราบวชเป็นพระขึ้นมานี่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ๒๒๗ นี่ ศีล ๒๒๗ เป็นศีลของสมณะ เป็นศีลของภิกษุ เป็นศีลของผู้ที่ปรารถนา เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม ขอบวชขึ้นมาโดยอุปัชฌาย์ โดยสงฆ์ยกเข้าหมู่ นี่เป็นภิกษุ

ฉะนั้นเป็นภิกษุขึ้นมานี่ เวลาเป็นภิกษุ ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาสเขา เวลาประพฤติปฏิบัติของเขา เขาก็ว่าเขามีความสงบร่มเย็นของเขา ไอ้เราเป็นพระ เป็นนักปฏิบัติอาชีพ เราปฏิบัติด้วยความเป็นจริงของเรา เราปฏิบัติเป็นจริงของเรา เราปฏิบัติของเราเห็นไหม

ดูสิ เหมือนนักกีฬาอาชีพ หรือผู้ที่มีอาชีพในวิชาชีพใด เขาก็ต้องทำงานตามหน้าที่ตามวิชาชีพของเขาให้ประสบความสำเร็จ ให้ประสบความสำเร็จเห็นไหม

ดูสินักกฎหมาย เวลานักกฎหมายเขาขึ้นว่าความ เดี๋ยวนี้คนว่าความเป็นคนเดียวแทบจะไม่มีเลย เป็นคณะบุคคลเห็นไหม ทีมทนาย ต้องเป็นทีมเลย เป็นทีมเพราะอะไร เพราะแง่ของกฎหมาย มีแง่มีงอน มีเล่ห์มีเหลี่ยม มีขั้นมีตอนของมัน เห็นไหมเขาต้องเป็นทีมงาน ทีมงานเพื่อดูแลความละเอียดรอบคอบ ไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ ไม่ให้เสียเปรียบกับคู่กรณี เห็นไหม นี่ก็เป็นทีมของเขา นี่คือวิชาชีพของเขา

แต่เราเป็นพระ เราเป็นนักบวช เห็นไหม เราเป็นพระ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระขึ้นมา เพื่อประพฤติปฏิบัติกระทำความจริงของเรา ความเป็นจริงของเรานะ เวลาความจริงของเราเห็นไหม เขาบอกว่าเวลาบวชเป็นพระ ธรรมะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เวลาเป็นพระขึ้นมาแล้ว เขาก็หวังว่าเป็นพระที่ดี เป็นพระที่ดีนี่เวลาบวชเป็นพระที่ดีนี่ กิเลสมันไม่บวชด้วย เวลาบวชพระ บวชแต่ร่างกายนะ บวชแต่เพศ บวชแต่มนุษย์ให้เป็นพระขึ้นมา แต่จิตใจ เห็นไหม ก็เป็นปุถุชนเหมือนกัน

เวลาเขาว่าเป็นปุถุชนของเขา เขาครองเรือนของเขา ไม่ผิดศีลผิดธรรมนี่ เขาก็ว่าไม่ผิดกฎหมายของเขา เวลาเราบวชเป็นพระขึ้นมานี่เห็นไหม เรามีข้อกติกามากขึ้น แม้แต่ทางรัฐบาลเขายังให้สิทธิเสรีภาพ ให้มีการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ให้โอกาสเรา แล้วให้โอกาสเราเพราะอะไร เพราะพระพุทธศาสนานะ

เวลา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำให้ความร่มเย็นเป็นสุข เป็นเจือจานต่อกัน น้ำใสใจจริงเพื่อให้อบอุ่นในความมั่นคง ในความเป็นหมู่ชน ให้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอันเดียวกัน นี่ตัวศาสนา ตัวสมาน ตัวทำให้ประเทศชาติมั่นคง

ฉะนั้นเวลาเราเป็นตัวแทน พระเป็นตัวแทน พระเป็นเครื่องแสดงออก เห็นไหม เวลาสังคมเขามีความเสียหายต่างๆ เขาก็โทษพระๆ พระไม่สอนๆ ไอ้พระก็สอนแล้วสอนอีกนะ ฆราวาสเขาก็ไม่เชื่อไม่ฟัง ไม่เชื่อไม่ฟังเพราะว่า พระจะรู้อะไร นี่พระวันๆก็มีแต่หลับหูหลับตา หลับหูหลับตานั่นล่ะ เราจะเข้าไปดูหัวใจของเรา เพราะคน เห็นไหม คนมาจากไหน มาจากความรู้สึกนึกคิด มาจากจิต ถ้าไม่จิตมันก็ไม่มีคน มีแต่ซากศพ เห็นไหม เวลาคนที่ไม่มีสติปัญญา เขาเรียกว่า ซากศพ ศพเดินได้ ถ้าซากศพมันไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อกัน มันจะทำเบียดเบียนกัน มันทำร้ายซึ่งกันและกัน แต่เวลามีศีลธรรมขึ้นมา มันมีมาจากไหนล่ะ มันก็มีจากความรู้สึกนึกคิด มีจากหัวใจไง หัวใจมีความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม ถ้ามีความรู้สึกนึกคิด ถ้ามันศึกษาธรรม มีการศึกษา มีความละอาย ความเกรงกลัวต่อบาป ถ้ามีความละอายขึ้นมาแล้ว จะทำสิ่งใดมันก็อาย

นี่แต่ถ้าไม่มีความละอายล่ะ เห็นไหม เพราะไม่มีความละอาย ถ้าเป็นฆราวาสเขาไม่มีความละอายเห็นไหม นี่มันหน้าอย่างหลังอย่างไง หน้าไหว้หลังหลอก ทำสิ่งใด เวลาเขาคดโกงกัน เวลาเขาพูดจากันนุ่มนวลอ่อนหวาน น่าเชื่อถือนะ เวลาคนเขาหลอกลวงกันล่ะ การหลอกลวงของเขา เขาทำให้อีกคนหนึ่งเคลิบเคลิ้ม เชื่อถือไป เห็นไหมหน้าฉาก แต่หลังฉากเขาหวังต่อผลประโยชน์ของเขานะ เขาหวังผลประโยชน์ของเขา เขาเอารัดเอาเปรียบกันเห็นไหม นี่ทางโลกเขา นี่หน้าไหว้หลังหลอก

ฉะนั้นเวลาเราบวชมาเป็นพระขึ้นมานี่ เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเห็นไหม เวลากิเลสของเรามันหลอกลวงเรานะ เวลาเราจะทำความสงบของใจเห็นไหม เราจะทำความสงบของใจ เขาบอกว่า นี่ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัยของเรา เป็นที่พึ่งของเราเห็นไหม เราบวชมาเป็นพระ เราก็เป็นหนึ่งในสงฆ์ เป็นสงฆ์สมบูรณ์แบบโดยญัตติจตุตถกรรม เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เป็นสงฆ์โดยโลกไง

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเห็นไหม เราจะเป็นสงฆ์โดยใจ ถ้าเป็นสงฆ์โดยใจ นี่ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม นี่จิตสงบเข้ามาเห็นไหม นี่สังฆะ นี่สังฆกรรม เราทำสังฆกรรมกันอยู่นี่ อุโบสถศีล นี่เวลาเราถือศีล เราถือศีลกัน ๒๒๗ เวลาเราลงอุโบสถสังฆกรรมกันนี่ เพื่อที่ว่าสิ่งที่ทบทวนว่า ศีล ๒๒๗ นี่เรามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องกันไปหรือเปล่า สิ่งใดที่เราทำ ที่มันมีความเสียหายเราไหม ถ้ามันเสียหายเรา เราก็จะแก้ไขกันเพื่อความเป็นมงคลแก่การประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม การกระทำสิ่งนั้นมันก็จะเป็นตามข้อเท็จจริงนั้น มันไม่ใช่เป็นการหลอกการลวง

ใครหลอกลวง ใครหลอกลวงเรา ก็กิเลสของเรามันหลอกลวงเราไง นี่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งใดที่ว่าสิ่งนั้นเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งนั้นเป็น...มันมีความรู้สึกนึกคิดนะ เวลาใจมันมีความรู้สึกนึกคิดสิ่งใดขึ้นมานี่เห็นไหม นี่เวลาจิตมันสงบ เห็นไหม ความรู้สึกต่างๆ นี่ ถ้าคนไม่มีสติปัญญา เขาว่ากันว่าเป็นผู้วิเศษ มันวิเศษกับความรู้สึกนึกคิด สามัญสำนึกของบุคคลไง สามัญสำนึกของคนเขาคิดกันอย่างไร เขามีความรู้สึกอย่างไร อันนี้มันมีความรู้สึกนึกคิดที่แปลกไปกับเขา ถ้ามันแปลกไปกว่าเขาเป็นผู้วิเศษนะ นี่ผู้วิเศษจากความนึกคิดนะ

แต่เวลาคนทำความสงบของใจเข้าไป พอใจมันสงบเข้าไป เห็นไหม มันรู้มันเห็นอะไรของมันขึ้นมานี่ นี่สำคัญตน สำคัญตนว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นธรรม นั้นเป็นผู้วิเศษ ถ้าเป็นผู้วิเศษ กิเลสมันหลอกสองชั้นสามชั้นนะ กิเลสชั้นหนึ่งคือมันหลอกเราแล้วแหละ เวลามันหลอกเราว่า สิ่งที่ว่าเรารู้เราเห็นไหม นี่กิเลสมันหลอกเรา หลอกเรานะ

เราปฏิบัตินี่เราจะเข้าไปชำระล้างกิเลสต่างหากล่ะ เรามาบวชกัน เราฟังธรรม เห็นไหม ฆราวาสเขาหวังกับเรา หวังว่าพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นพระสงฆ์ ต้องมีธรรม คำว่า “มีธรรม”เห็นไหม

ดูสิเวลาสิ่งที่เราบวชเป็นพระแล้วนี่ เป็นตัวแทนของศาสนา เป็นตัวแทนของพระธรรม นี้เป็นตัวแทนของพระธรรม นี่ถ้าเป็นตัวแทนเห็นไหม ตัวแทนโดยอะไร ตัวแทนที่เขาศึกษามา ตัวแทนสิ่งนี้

ดูสิ เวลาทางโลกเขา เวลาครูบาอาจารย์สั่งสอนนักเรียน เห็นไหม ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี เขาก็สั่งสอนด้วยความเป็นสัมมาทิฎฐิ แต่ถ้าครูบาอาจารย์เขาหาผลประโยชน์กับลูกศิษย์เขาล่ะ นี่สิ่งนั่นเขาก็หาผลประโยชน์ เขาก็หาเศษหาเลยของเขา นั่นเป็นครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี นั่นมาจากไหนล่ะ นั่นก็มาจากตำราที่เป็นครูบาอาจารย์เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน บอกเป็นตัวแทนศาสนาๆ ถ้าเป็นตัวแทนศาสนาโดยสุภาพบุรุษ โดยความเป็นจริง นั่นก็เป็นสิ่งที่เป็นมงคลชีวิตแล้ว แต่ไม่เป็นความเป็นจริงเลยนะ นั่นล่ะในมุมมองของโลกที่เขาคาดหวัง คฤหัสถ์คาดหวังเขาก็ก็คาดหวังกับเราอย่างนั้น แต่เวลาเราบวชขึ้นมาเห็นไหม เราบวชของเราเห็นไหม จากฆราวาสมาเป็นพระสงฆ์ เวลาเราเป็นพระสงฆ์เราประพฤติปฏิบัตินี่ เราคาดหวังอะไร เราคาดหวังความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเราไง

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ทำไมจิตใจมันไม่ร่มเย็นเป็นสุขเหมือนกับที่เราคาดหวังล่ะ ทางโลกเขาก็คาดหวังกับพระ พระก็คาดหวังกับตัวเอง ตัวเองว่าตัวเองจะมีคุณธรรมหรือเปล่า ตัวเองจะทำแล้วมีความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจหรือเปล่า แต่ทำไปแล้วทำไมมันไม่มีความร่มเย็นเป็นสุขล่ะ

ความตึงเครียด เวลาปกติ คนเราก็มีความสุขสบายของเขา แต่เวลาเขามีหน้าที่การงาน เขาคาดหวังสิ่งใด เขาจะมีความตึงเครียดของเขา เวลาความตึงเครียดของเขาขึ้นมา ความตึงเครียดนั้นจะบีบคั้นในชีวิตของเขา นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราตั้งใจของเรา เราเป็นพระแล้วเราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราปฏิบัติเพื่อความจริงของเรา เห็นไหม มันมีความตึงเครียด พอมีความตึงเครียดขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นต้นเหตุไง มันเป็นต้นเหตุของการว่าเราบีบคั้นตัวเรา การบีบคั้นนั้นมันเป็นความตึงเครียดไหม ถ้าการบีบคั้นนั้นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก โดยการคาดหวัง

เขาบอก นี่กิเลสๆ ความอยากเป็นกิเลส ความอยากเป็นกิเลส

แต่เวลาเราบวชเป็นพระขึ้นมา ศึกษาธรรมของเราขึ้นมา เราศึกษาวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้แล้วเป็นศาสดาของเรา ถ้าเราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แล้วเวลาความสุขใดจะเท่าพ้นจากกิเลส พ้นจากทุกข์ไป พ้นจากพญามารไป สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด เราก็เชื่อมั่นของเรา ถ้าเราเชื่อมั่นของเรา เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติของเรา เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติของเรา ความตั้งใจเป็นอธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศ เป็นกิเลสมาจากไหน ถ้ามันไม่เป็นกิเลส เห็นไหม ทีนี้มันอยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติของเราว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ความตึงเครียด ตึงเครียดเพราะอะไร เพราะมันจับจด จับเล็กผสมน้อยแล้วมันไม่ได้ผล แต่ถ้ามันเป็นความจริง เราประพฤติปฏิบัติของเราโดยข้อเท็จจริง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เราก็มีโอกาสแล้ว ดูสิ เวลาทางโลกเขา เวลาเขาไปตลาด เขาทำธุรกิจการค้ากัน เขาต้องการทำเลที่ดี เขาต้องการสิ่งที่ว่าสินค้าเขาจะมีคนเข้ามาติดต่อซื้อขายของเขามากขึ้น นี่เขาต้องการทำเล เขาต้องการโอกาสของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ โดยฆราวาสธรรม ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แต่ใครเอาความจริงจังล่ะ เราเป็นพระใช่ไหม เรามีความจริงจังของเรา เราอุทิศตน อุทิศตนกับการดำรงชีวิตแบบฆราวาส แบบโลก เราอุทิศตนมาเป็นนักบวช ถ้าเป็นนักบวช นักบวชในพุทธศาสนา นี่เราอุทิศตน เพราะเราเชื่อมั่นของเรา เราอุทิศตนของเรามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเพราะเราอยากประพฤติปฏิบัติ เราเห็นโทษของการเกิดและการตาย เราเห็นโทษในวัฏสงสาร เราก็พยายามบวชขึ้นมาเพื่ออยู่ในศีลในธรรม

ถ้าอยู่ในศีลในธรรมแล้ว เราอยู่ในศีลธรรมเพราะเราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นผู้ชี้นำเรา ถ้าเราเชื่อมั่นครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำเรา เรามีความพอใจที่เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราจะปฏิบัติ ปฏิบัติเรื่องอะไร เราจะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติที่ไหน

เริ่มต้นบวชขึ้นมา เราก็ต้องมีศีล เรามีข้อวัตร เรามีครูบาอาจารย์ มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าวัตรปฏิบัติ พอมีข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นขอบเขต ศีลเป็นรั้วกั้น จะรั้ว จะมีรอบรั้วเข้ามา จะเข้าไปสู่บ้าน ศีลก็คือการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราเข้าบ้านของเรา ก็ทำความสงบของใจ ถ้าผู้ใดทำความสงบของใจ เท่ากับมีบ้านมีเรือน

คนเราเร่ร่อน ไม่มีบ้านมีเรือนเป็นที่พึ่งอาศัย ฝนตกแดดออกทุกข์ร้อนมาก ยิ่งตอนนี้ ดูสิ ทางยุโรปเขาหนาวตาย ๕๐๐-๖๐๐ คน หนาวขึ้นมานอนอยู่กลางถนน นอนอยู่ใน...ผู้ไม่มีบ้านไง คนไม่มีบ้าน ทางรัฐเขาก็ต้องแจกผ้าห่มเครื่องนอนต่างๆ เพื่อจะให้หลบหนาวๆ คน ถ้าไม่มีบ้าน

ดูสิ มีรั้ว มีศีลเป็นรั้วกั้น แต่เราหาบ้านเราไม่เจอ จิตใจเราไม่สงบร่มเย็น ถ้าจิตใจเราไม่สงบร่มเย็น หนาวตาย! คนหนาวตายนะ แต่ถ้ามันมีบ้านมีเรือน มีเครื่องทำความร้อนให้มีความอบอุ่น ถ้าใครมีสมาธิ มีที่มั่น มีหัวใจ มันจะมีบ้านมีเรือนเป็นที่พึ่งอาศัย ศีลเป็นรั้วกั้น สมาธิเป็นบ้านขึ้นมา แล้วปัญญาขึ้นมา บ้านนั้นมีผู้อยู่ในบ้านนั้น จะประกอบสิ่งใดให้เป็นประโยชน์กับตัวเองขึ้นมา จะเกิดปัญญาของเราขึ้นมา

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ปัญญาเกิดขึ้นมาจากไหน มันจะเป็นความตึงเครียดไหม ถ้าเป็นความตึงเครียดขึ้นมา เพราะอะไร เพราะที่ว่า ที่ไหนมีความอยากเป็นกิเลส กิเลสเป็นความอยาก อยากมันถึงเครียด เพราะอะไร เพราะเราอยากโดยกิเลส

ว่าบวชเป็นพระแล้วทางฆราวาสเขาก็คาดหวังกับเราว่าพระต้องเป็นผู้ทรงคุณธรรม พระต้องมีคุณธรรมเพื่อจะเจือจานกับเขา เราก็บวชแล้วเราก็อยากจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็พยายามอยากประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ผล ไม่ได้ดั่งใจ เห็นไหม เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้าจิตมันสงบร่มเย็นขึ้นมา มันรู้มันเห็นต่างๆ นะ ก็สำคัญตนว่าวิเศษอย่างนู้น วิเศษอย่างนี้...ผู้วิเศษอย่างนั้นกิเลสมันขี่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น

แต่เราจะฆ่ากิเลสนะ ถ้าเราจะฆ่ากิเลสนะ เราไม่ใช่ผู้วิเศษ เราเป็นบุคคลธรรมดา เราเป็นพระสงฆ์ สงฆ์ที่มีศีล ๒๒๗ อยู่กับสงฆ์ เวลาครูบาอาจารย์ วัดวัดหนึ่ง คณะสงฆ์ คณะสงฆ์หนึ่ง เปรียบเหมือนกับร่างกายของบุคคล ร่างกายของบุคคล มันก็มีหัว มีศีรษะ มีร่างกาย มีหน้า มีตา มีร่างกาย มีมือไม้ มีแขน มีขา มีอวัยวะต่างๆ คณะสงฆ์ก็อยู่ด้วยกัน ความอยู่ด้วยกันก็เหมือนร่างกายมนุษย์ มีจุนเจือกัน มันขับเคลื่อนไปด้วยกัน มันไม่มีใครสำคัญไปกว่าใครหรอก ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน

เราบวชมาเป็นสงฆ์ “สังฆะ” เห็นไหม “สังฆกรรม” เวลาลงอุโบสถ ทุกคนสาธุพร้อมกัน นี่ฉันทามติ ฉันทามติคือความเห็นด้วยกัน ความเห็นเหมือนกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความรู้เสมอกัน อยู่ด้วยกัน ความร่มเย็นเป็นสุข

บุคคลธรรมดา ถ้าจะเป็นผู้วิเศษมันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องโลกๆ ไป นี่ผู้วิเศษ ถ้าผู้วิเศษ กิเลสมันอ้างตรงนั้นด้วยนะ

หนึ่ง...สำคัญว่าเป็นผู้วิเศษ พอผู้วิเศษก็มันสำคัญตนนะ สำคัญตนว่าสำคัญตน พอสำคัญตนไปน่ะ กิเลสมันขี่หัวมา พอขี่หัวมามันก็เกิดความเร่าร้อน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา จะเป็นสุภาพบุรุษ เราไม่สำคัญตนเป็นต่างๆ ความเสมอกันโดยศีล ความอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทีนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป นี่ไง มันไม่ตึงเครียด พอไม่ตึงเครียดมันก็ไม่เผาลน จิตใจเรามันไม่เผาลนเรานะ เพราะอะไร เพราะถ้าโลกเขาว่า กิเลสเป็นความอยาก กิเลสเป็นความอยาก จะประพฤติปฏิบัติไม่ได้ นี่ความเห็นของเขานะ

แล้วเขาเพ่งเล็งมากว่า เราปฏิบัติกันด้วยความอยาก พวกเราจะไม่ได้ผลสิ่งใดเลย

แต่ถ้าเรามีความตั้งใจเป็นสุภาพบุรุษ เราตั้งใจจริงของเรา ความตั้งใจจริงนั้นเป็นมรรค มันเอากิเลสมาจากไหน กิเลสมันก็คือกิเลส ความเป็นมรรคของเรา เราหวังดี เราใฝ่ดี เราทำคุณงามความดีของเรา แล้วทำแบบเต็มไม้เต็มมือนะ ไม่ใช่ทำแบบจับจดไง ทางโลกเขาทำแบบจับจดนะ อย่างนั้นๆ อย่างนั้นจะเป็นธรรม อย่างนี้เป็นธรรม...สักแต่ว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไง ทำอะไรก็ทำสักแต่ว่าทำ ถ้าทำเกินไปก็จะเป็นกิเลส

แต่พอเราตั้งใจ ว่าเป็นกิเลส พอเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีความเร่าร้อน มันเผาลนใจ นั่นเราสังเกตของเรา แต่ถ้าเราตั้งใจจริง เราตั้งใจจริงของเรา ถ้าไม่ตั้งใจจริงของเรา เราจะเข้าเป้าหมายนั้นได้ไหม เราจะเข้าเป้าหมายสู่ความเป็นจริงนะ มันจะไม่เผา จิตใจจะไม่เผาเรา เราจะไม่เป็นผู้วิเศษ เราจะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจะเข้าสู่ธรรม

ถ้าเราเข้าสู่ธรรม สัจจะความจริงขึ้นมา มีขยันหมั่นเพียร มันขยันหมั่นเพียรแล้วไม่เสียหายด้วย แล้วมันไม่ผิดด้วย แล้วรู้ด้วยว่าทำถูกต้อง เออ! ทำอย่างนี้ถูกต้อง ทำอย่างนี้ดีงาม

“ทำดีเพื่อดี” ความดีนะ ความดีที่ไม่เป็นโทษ ความดีที่ไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย ความดีของเรา ความดีที่สะอาดบริสุทธิ์ “ความดีเพื่อความดี” ไม่หวังสิ่งใดมาเพื่อความดีนั้นเลย ถ้าความดีเพื่อความดี

เขาบอกว่า เป็นกิเลสๆ...ใครบอก ใครบอกว่าเป็นกิเลส

ความเป็นกิเลส ไม่เป็นกิเลส มันอยู่ที่หัวใจนี้สัมผัสไง ถ้าหัวใจมันเร่าร้อน ถ้าทำสิ่งใดแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม มันก็เจือด้วยกิเลส เวลาประพฤติปฏิบัติมันก็มีความผิดพลาดไปเป็นธรรมดา ความผิดพลาดไปเป็นธรรมดา เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยทำ แต่พอเราผิดพลาดขึ้นมา เราก็พิสูจน์ของเรา เราแสวงหาของเรา สิ่งนี้ทำแล้วมันมีความเร่าร้อน

แต่ถ้าเราตั้งสติให้ดีๆ แล้ววางพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิทำให้มันลงสู่ความสงบร่มเย็น ถ้ามันสงบร่มเย็น ฮื่อ สิ่งนี้ถูกต้อง นี่มันต้องมีการกระทำ ไม่มีการกระทำ ดูสิ กินข้าวเขายังต้องตักเข้าปากเลย แล้วบอกว่า ทำนู่นก็ผิด ทำนี่ก็ผิด...มันจะผิดไปได้อย่างไร ความดำรงชีวิตอยู่ต้องหายใจ เรายังต้องเคลื่อนไหวเลย ร่างกายเราไม่เคลื่อนไหว อยู่เฉยๆ เป็นไปได้อย่างไร...เป็นไปไม่ได้หรอก คนเราต้องเคลื่อนไหว ความรู้สึกนึกคิดมันก็เคลื่อนไหวของมัน แล้วการเคลื่อนไหวมันเคลื่อนไหวโดยกิเลสหรือเคลื่อนไหวโดยธรรม

ถ้าเคลื่อนไหวโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับเคลื่อนไง นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ถูกต้อง ไม่มีดีงามสักอย่างเลย แต่! แต่ถ้าทำตามกิเลสนะ ทำตามโลกนะ ถูกต้องไปหมด แต่ถ้าเราฝืนมันน่ะผิดไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ การฝืนกิเลส การฝืนไง เรามีสติปัญญาของเรา เราทำพุทธานุสติ ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาใช้ปัญญา ปัญญาเพื่อธรรม เรามีสติปัญญาของเรา เราใคร่ครวญของเราเข้าไป เราใคร่ครวญของเราเข้าไป

แล้วผลน่ะ ถ้าเหตุ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้าเหตุมันถูกต้องดีงาม ผลมันจะไปไหน แล้วถ้าผลมันเกิดขึ้นมา ให้มันร้อยปากพันปากมาพูดด้วย มันจะกี่ปากพูดก็ช่างหัวมัน แต่หัวใจเป็นจริง หัวใจไม่เป็นจริงล่ะ ความเกิดขึ้นเป็นจริงไหม ถ้าความเกิดขึ้นเป็นจริง นี่ไง ปัจจัตตัง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกมันเกิดขึ้นมากับเรา ถ้ามันเกิดมากับเรา สิ่งนี้เป็นความจริงขึ้นมา

แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ไม้หลัก ไม่ใช่ไม้หลักปักขี้เลน ไม้หลักที่มันต้นไม้ที่มันเจริญงอกงามขึ้นมา นี่หน่อของพุทธะ ถ้าเราทำความสงบของใจเราได้ เราเกิดปัญญาของเราขึ้นมาได้ มันจะหวั่นไหวกับสิ่งใด มันจะไปหวั่นไหวกับโลกธรรมจากที่ไหน โลกธรรมมันคือโลกธรรม ให้มันซัดเข้ามา ให้มันซัดเข้ามา เพราะเราก็หลงใหลมานานแล้ว ความรู้สึกของเรา ชีวิตของเราก็เหมือนสวะอันหนึ่ง โดนวัฏฏะมันพัดมาพอแรงแล้ว มันพัดหัวใจนี้มาทุกข์ร้อนเต็มที มันพัดมาในวัฏฏะนี่เกิดตายๆ มานี่มันพัดเรามาขนาดนี้

แล้วเกิดมาเป็นในชาติปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วพบพระพุทธศาสนา บวชเป็นพระด้วย ยังจะให้กิเลสมันพัดให้หัวใจมันสั่นไหวไปไหน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราก็ต้องมีจุดยืนของเรา มีหลักมีเกณฑ์ของเรา ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เห็นไหม สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าเรามีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราจะดำเนินชีวิตของเราไป ถ้าชีวิตเราดำเนินไปด้วยมรรคด้วยผล

นี่ศาสนาพุทธ ศาสนาแห่งปัญญา เราใช้ปัญญาไตร่ตรองชีวิตของเราอยู่แล้ว เราเห็นโทษมาตั้งแต่เราเป็นฆราวาส เราเป็นฆราวาส เราก็เห็นโทษของชีวิตนี้มันทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วพอทุกข์ยากทั้งชีวิตแล้ว เห็นไหม

ชีวิตการครองเรือน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ชีวิตในการครองเรือนเหมือนวิดน้ำทะเลทั้งทะเลนะ เอาปลาตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง วิดน้ำทะเลทั้งทะเลได้ปลาน้อยๆ ตัวหนึ่ง ชีวิตฆราวาสทั้งชีวิต ความเป็นอยู่ของเราทั้งชีวิตเลย ทำบุญกุศลต่างๆ ได้ปลาน้อยๆ อยู่ตัวหนึ่ง แล้วบุญกุศลได้ไหม? ได้ ปลาน้อยๆ ตัวหนึ่ง แต่วิดทะเลทั้งทะเลนะ หน้าที่การงานของเรา การครองเรือนของเรา การดำรงชีวิตของเรานี่มันทุกข์ยากขนาดนั้นน่ะ

ฉะนั้น เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระนะ เป็นคนไหม? เป็นคน ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกันใช่ไหม? ใช่ แต่เรามีศีล ศีล มีศีลเป็นพื้นฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มีศีล พระกรรมฐานเวลาเทศน์ เห็นไหม สมาธิ ปัญญาขึ้นไปเลย

เขาก็บอกว่า นี่ข้ามตอนของศีล เพราะละเลยศีล เพราะละเลยศีลถึงทำให้กรรมฐานทำให้ผิดพลาดกัน ทำอะไรเอาแต่ใจของตัวเอง

“ศีล” มันเป็นเรื่องพื้นฐานของชาวพุทธ ชาวพุทธเราต้องมีศีลมีธรรมเป็นเรื่องสัจจะความเป็นจริงอยู่แล้ว

ฉะนั้น เวลาพูดเรื่องศีลก็พรรณนากันไปค่อนวันค่อนคืน แล้วจะพูดถึงสมาธิ ๒ นาทีแล้วเลิกแล้ว เพราะอะไร เพราะเรื่องศีลมันเป็นเรื่องของธรรมวินัย มันเป็นเรื่องกฎหมาย กฎหมายที่นี่บัญญัติไว้ ธรรมและวินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว แล้วก็ไปพร่ำพรรณนากันอยู่สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ แล้วธรรมวินัยพระพุทธเจ้าก็บัญญัติไว้เหมือนกัน พร่ำพรรณนาทำไม

“ธรรม” ธรรมคือแง่มุม แง่มุมที่จิตใจมันได้พิจารณาของมัน แง่มุมของจิตใจที่เรากำลังจะพัฒนากันอยู่นี่ ถ้าพิจารณานะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ท่านเคยผ่านขั้นตอนของการกระทำมา แง่มุมของมันมี การกระทำที่จะเอาชนะตนเอง

การข่ม ข่มกิเลสในหัวใจให้มันสงบลงโดยใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้สติปัญญาของเรา ใช้คำบริกรรมพุทโธๆ คำบริกรรมพุทโธๆ ขณะเราตั้งสติกำหนดคำบริกรรม เราข่มมัน เราข่มไม่ให้มันคิดตามอำนาจของมัน เราข่มพลังงานตัวจิตนี้ให้มากำหนดพุทโธ ถ้าเราข่มมัน ใช้ธรรมข่มกิเลสให้มันสงบตัวลง

ถ้าเราข่มมัน เห็นไหม นี่ในแง่ของธรรมไง ถ้าแง่ของธรรม เราข้ามขั้นตอนศีลไปเหรอ ใครไปข้ามขั้นตอนศีล ศีลมันเป็นปกติของใจ ศีลมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำกันอยู่แล้ว ถ้าศีลมันเป็นหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว มันมีโดยพื้นฐานอยู่แล้ว

ฉะนั้น เวลาเทศน์พระกรรมฐานเรา เวลาเทศนาว่าการขึ้นไปก็เริ่มตั้งแต่ตั้งสติ แล้วการกระทำของเราขึ้นมา ถ้ามีการกระทำขึ้นมานะ ศีลก็คือศีล ศีล ความปกติของใจ ถ้ามีศีลบริสุทธิ์ ถ้าศีลมันขาด มันด่าง มันพร้อย มันก็เศร้าหมอง ความเศร้าหมอง เวลาปฏิบัติไปผู้นั้นก็รู้ด้วยตัวเขาเอง

ความลับไม่มีในโลก ใครทำสิ่งใดคนนั้นเป็นคนทำทั้งนั้นน่ะ คนทำขึ้นมามันก็แทงหัวใจของตัวเองนั่นล่ะ เพราะอะไร เพราะเจตนามันมีใช่ไหม การกระทำ ดูสิ ทางฆราวาสเขา เขาบอกไม่มีเจตนาทำสิ่งใดโดยความพลั้งเผลอของเขา นั่นเป็นฆราวาสเขาอ้างอิงกันนะ แต่ถ้าเป็นพระ พระเป็นผู้นักรบ พระเป็นนักรบ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ทำสิ่งใดทำไมพระไม่รู้ แล้วพระไม่รู้ พระจะตั้งสติอย่างไร แล้วพระจะชนะตัวเองอย่างไร พระจะเอาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข่มกิเลสลงไปอย่างไรให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ให้มันออกใช้ปัญญา อย่างนี้ต่างหาก นี่คือศากยบุตรพุทธชิโนรส ไม่ใช่ผู้วิเศษ

ผู้วิเศษน่ะเขาไปตามไสยศาสตร์ ไปตามอำนาจของจิต อำนาจของจิตของเขานะ อำนาจของจิตที่ว่ามันรู้มันเห็นสิ่งใดนะ ถ้าว่าสำคัญตนว่ารู้ว่าเห็นอย่างนั้น แล้วสำคัญตนว่าเป็นผู้วิเศษ สำคัญตนว่าเป็นผู้มีอำนาจ...มีอำนาจอะไรน่ะ กิเลสมันครอบงำหัวใจอยู่อย่างนั้น จะเป็นจะตายอยู่แล้วยังบอกว่ามีอำนาจ

แต่เวลาเราใช้กำลังของเราข่มกิเลสลง ข่มสิ่งที่มันสำคัญตนนั้นลงไป ถ้าสิ่งที่ข่มสิ่งที่สำคัญตนลงไป มันจะเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมถกรรมฐาน เป็นสมถกรรมฐานที่ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ไม่ข้ามขั้นตอน

เขาบอก กรรมฐานนี่.. เพราะว่าไม่พูดถึงศีลเลย เวลาข้ามขั้นตอนไปเลย ละศีล แล้วก็ไปเอาสมาธิ ปัญญาไปเลย

ถ้ามันไม่มีศีลขึ้นมามันจะเป็นพระมาได้อย่างไร เวลาคนเกิดมามี ๒ แขน ๒ ขา ๑ ศีรษะ ศีล ๕ มันสมบูรณ์มาอยู่แล้ว ถ้ามันสมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว ศีล ๘ พรหมจรรย์ ใครถือพรหมจรรย์ล่ะ ถือศีล ๑๐ ถ้าเราบวชขึ้นมา ศีล ๒๒๗ เพราะเวลาปฏิญาณตนกับอุปัชฌาย์ขึ้นมา สงฆ์ยกเข้าหมู่ นั่นน่ะ ภิกษุก็ยอมรับศีล ๒๒๗ อยู่แล้ว ฉะนั้น ผิดถูกมันก็ตนเป็นผู้รู้อยู่แล้ว ไม่มีความลับในโลก

ทีนี้ ความลับในโลก เวลาปฏิบัติขึ้นไป ต่างคนก็ต่างศึกษา ต่างคนต่างก็ได้กระทำมา ทำไมจะต้องไปทบทวน แล้วเวลาจิตขึ้นมาที่มันจะเป็นธรรมขึ้นมา ทำไมไม่ทบทวน ฉะนั้น เวลาบวชไปแล้ว ถึงว่าเป็นสาวกะ เป็นภิกษุ เป็นพุทธชิโนรสในศาสนา เป็นพระธรรมดา ความธรรมดาในเรื่องในศีลในธรรม

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ เวลาจิตมันเริ่มสงบเข้ามา เวลาจิตมันจะสงบนะ เวลาผู้ที่รวมใหญ่ เทวดา อินทร์ พรหม เขายังปกป้องดูแลนะ ถ้าจิตมันสงบ เวลาเทวดา อย่างพวกเทวดา พวกพรหมไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์ เพราะมนุษย์กลิ่นคาว กลิ่นคาว กลิ่นสาบกลิ่นสางของร่างกายมันเหม็นมาก ฉะนั้น เวลาจิต ถ้ามันจะสงบระงับเข้ามา เวลาจิตสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตถึงกับรวมใหญ่ มันปล่อยร่างกายนี้ได้ มันปล่อยร่างกายโดยความไม่รับรู้

จิต ปฏิสนธิจิต เวลาเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ เกิดเป็นสาธารณะในวัฏฏะ มันก็เป็นปัจจุบันในชาตินั้น ฉะนั้น มันสถานะไหนมันก็อยู่ในสถานะนั้นๆ ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในสถานะของมนุษย์ แล้วเวลาเราบวชเป็นพระด้วย ถึงว่าเป็นฆราวาส ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติของเขาขึ้นมา ถ้าจิตมันจะรวมลง ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิมันปล่อยร่างกายได้ มันปล่อยถึงกับความคาว ความหนักหน่วงที่จะต้องเป็นสถานะของมนุษย์ จิตมันปล่อยเข้ามานะ เป็นสภาพจิตที่มันปล่อยมาเป็นอัปปนาสมาธิ มันตั้งมั่นของมัน มันสักแต่ว่ารู้ มันสักแต่ว่ารู้นะ เทวดา อินทร์ พรหม ถ้ามีอำนาจวาสนา จะอนุโมทนาเลยล่ะ

ถ้าอนุโมทนากับจิตดวงนั้น แล้วถ้าจิตดวงนั้นออกใช้ปัญญาของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นเวลามันคลายตัวออกมา คลายตัวออกมาจากอัปปนาสมาธินี่เป็นอุปจาระ อุปจาระมันมีความรอบรู้ ถ้าเข้าไปอัปปนา จิตมันจะสงบระงับในตัวของมันเอง เวลามันคลายตัวออก เห็นไหม มีอุปจาระ คือกระทบได้ พอกระทบได้มันจะออกไปสู่สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าออกไปกาย เวทนา จิต ธรรม นั่นน่ะ โดยสัจจะ โดยความจริงของจิต มันไม่ใช่สัจจะความจริงโดยทฤษฎี โดยตำรา โดยสำคัญตน โดยว่าเป็นผู้วิเศษ

เขาว่า เห็นกายๆๆ...เห็นกายตรงไหน เห็นกายอะไร เห็นกายมาจากไหน พร่ำเพ้อกัน เพ้อเจ้อ

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่มันไม่สำคัญตน มันจะเป็นความจริงของมัน แล้วไม่สำคัญตนเป็นความจริงของมัน มันรู้มันเห็นของมัน นี่ไง ปัญญาในภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ มันรู้มันเห็นนะ มันจะสำรอก มันมีความสุขมาก มีความสุขที่คนหลงทาง คนหลงไปในโลกนะ ในวัฏฏะ เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะเหมือนคนตาบอด เต่าตาบอดมันว่ายไปในทะเล ไปตามกระแสน้ำ ไปตามความรู้สึก ความแรงพัดของน้ำมันไป

นี่ก็เหมือนกัน เวียนตายเวียนเกิดมา เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ แล้วเวลาจิตมันสงบระงับขึ้นมา มันเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้เกิดมาได้ภาวนาขึ้นมา เวลาภาวนาจิตมันสงบระงับเข้ามา มันออกใช้ปัญญาของมัน แล้วจิตดวงนี้ที่มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตดวงนี้มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมโดยความเป็นจริง มันสะเทือนหัวใจมาก

ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลา ๑๖ อสงไขย เพราะมีบารมี สร้างสมบุญญาธิการขึ้นมา เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันถึงได้ออกใช้ปัญญา ออกตรัสรู้เองโดยชอบ จิตของเรา เวลามันรู้มันเห็นกายของมัน มันจะพัฒนาตัวของมัน มันจะเห็นของมัน นี่ไง บุคคลธรรมดา

สิ่งที่ว่าเป็นธรรมดา ธรรมดาคือไม่มีสิ่งใดสำคัญตน ไม่มีกิเลสสิ่งใดมันจะชักนำของมันไป มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงพิจารณาเข้ามา สิ่งนี้เป็นธรรมดาๆ “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” แต่ผู้ที่รู้ล่ะ รู้ความเป็นธรรมดาของมันล่ะ แล้วใช้ปัญญาแยกแยะล่ะ แยกแยะว่ากายเป็นกายอย่างไร จิตเป็นจิตยังไง เวทนาเป็นเวทนา ธรรมเป็นธรรมอย่างไร พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก นี่ไง เวลาปัญญามันเกิด มันเกิดอย่างนี้ ถ้าเกิดอย่างนี้ขึ้นมา นี่สัจธรรม ถ้าสัจธรรม นี่ไง ศากยบุตรพุทธชิโนรส นี่พุทธศาสนา ถ้าศาสนาเกิด เกิดอย่างนี้

อริยสัจ สัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่มันไม่ใช่ผู้วิเศษหรอก ผู้วิเศษ เวลามันมีฌานสมาบัติมันรู้ไง ดูสิ เวลาเขายิงจรวดขึ้นไปอวกาศ เขาไปปล่อยดาวเทียมกัน มันต้องขับตัวมันเองออกจากแรงดึงดูดของโลก มันพ้นออกไป เวลาเขาปล่อยจรวดมา มันขับดันออกไป แต่เวลาความจริงของเราล่ะ เวลาสัจธรรมที่มันเกิดขึ้นมามันขับไปที่ไหนล่ะ มันทวนกระแสกลับ มันไม่ขับดันออกไปจากโลกหรอก มันไม่ขับดัน เห็นไหม ดูจรวดขับดันของมันเพื่อออกจากแรงดึงดูดของโลก แต่เวลาปัญญาเราเกิดขึ้นมามันกลับเข้าไปสู่แรงดึงดูดของกิเลส

ดูสิ แกนของโลกอยู่ที่ไหน แกนของโลกนะ อวิชชามันอยู่ที่ไหน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ไม่มีใครเคยเห็นไง ในเรื่องโลกนะ เขาบอก ในจักรวาลนี้ นักอวกาศเขาออกไปศึกษากันรอบโลก รู้ไปหมดเรื่องจักรวาล แต่เรื่องในโลกนี่ ดูสิ ในทะเลต่างๆ ในใจกลางของโลก ใครเข้าไปพิสูจน์บ้าง ใครเข้าไปทำวิจัยบ้าง นี่เขาทำกันอย่างไร นี่เรื่องโลกๆ นะ เพราะมันเป็นเรื่องสมบัติสาธารณะ เรื่องโลก โลกคือวัฏจักร

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของธรรมล่ะ ธรรมของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นโลกๆ หนึ่ง เกิดเป็นเทวดาก็โลกหนึ่ง เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่างๆ เรามาเกิดเป็นมนุษย์ก็โลกหนึ่ง โลกคืออะไร โลกคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ศูนย์กลาง นี่แรงดึงดูดของกิเลส ของพญามาร ถ้าจิต เวลากิเลสมันเห็น เวลากิเลสมันพิจารณาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันพิจารณาของมัน ปัญญามันเกิดที่นี่ แล้วมันจะย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาที่นี่ ธรรมะ ที่ว่าสิ่งที่มันรู้มันเห็นขึ้นมา มันมีอำนาจมากกว่าความรู้สึกนึกคิดทางวิทยาศาสตร์ที่เขาคิดได้

แล้วเวลาเราศึกษาธรรมขึ้นมา ศึกษาธรรมกันโดยการส่งออก มันไม่ได้ศึกษาธรรมเข้ามา ถ้ามันศึกษาธรรมเข้ามา ศึกษาธรรมเข้ามา เขารู้ได้อย่างไร เวลาศึกษากัน เมื่อก่อนเขาก็ต้องเรียนบนกระดานดำ เดี๋ยวนี้เขาก็เรียนกันที่คอมพิวเตอร์ นี่มันก็เรียนโดยทางวิชาการ

แต่เวลากรรมฐานเรา เรียนที่ไหน เวลาจิตมันสงบ สงบที่ไหน แล้วเวลาจิตมันพิจารณา มันพิจารณาอะไร มันรู้มันเห็นอะไรของมันขึ้นมามันถึงได้พิจารณา ถ้ามันรู้ขึ้นมา มันเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร นี่บุคคล บุคคลธรรมดา มันเป็นธรรมะส่วนบุคคล บุคคลนั้นเป็นผู้รู้ บุคคลนั้นเป็นผู้เห็น จิตดวงนั้นเป็นผู้รู้ จิตดวงนั้นเป็นผู้เห็น เวลาความสะอาดบริสุทธิ์ เฉพาะดวงจิตดวงนั้น ไม่มีใครการันตีให้จิตดวงใดว่ามีความสะอาดบริสุทธิ์ได้ ความสะอาดบริสุทธิ์มันเกิดจากจิตดวงนั้นเอง

จิตดวงนั้นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตดวงนั้นเป็นผู้มีอำนาจวาสนา จิตดวงนั้นเป็นผู้กระทำ ครูบาอาจารย์ก็เป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นผู้บอกกล่าว ครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งของเรา แต่เวลาความจริงมันจะเกิด มันเกิดที่ครูบาอาจารย์หรือเกิดที่เราล่ะ ถ้ามันเกิดที่ครูบาอาจารย์ก็เป็นของครูบาอาจารย์ท่าน ถ้าไปเกิดที่เราล่ะ เกิดที่เราก็เป็นของเรา แล้วเกิดที่เรา เราจะไม่มีอำนาจวาสนาเหรอ เราทำไม่ได้เหรอ เวลามันทุกข์มันร้อน มันทุกข์มันร้อนจริงๆ นะ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดูสิ คนที่เขาจะประสบความสำเร็จทางโลก เขาจะต้องใช้สติปัญญาของเขาขนาดไหน เขาถึงทำหน้าที่การงานของเขา ถึงจะประสบความสำเร็จ คนทำหน้าที่การงานด้วยกันทั้งนั้นน่ะ แต่คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่เป็นหัวหน้ามันกี่คน แล้วเราประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาความคิดของเรามหาศาลเลย ความคิดที่มันคิดออกมาจากใจนี่ร้อยแปดพันเก้า แล้วความคิดอันไหนมันถูก แล้วความคิดอันไหนมันยับยั้งจิตใจเราได้ แล้วความคิดอันไหนมันให้เราทำความดี ให้เราสงบร่มเย็น

เวลาสงบร่มเย็น เห็นไหม สงบร่มเย็นที่โคนไม้ เวลาคนเขาต้องการร่มเย็นเป็นสุข เขาอยู่ที่โคนไม้ เวลาเราสงบร่มเย็น เราสงบร่มเย็นที่ใจเรา ไปนั่งอยู่บนกองน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็งมันก็ร้อน จิตใจมันร้อน แต่ถ้าจิตใจมันร่มเย็นเป็นสุข มันอยู่ที่ไหน เหงื่อไหลไคลย้อย ร้อนมาก เวลาบ่นนะ ร้อนๆ ...ร้อนแต่อยู่ได้ เพราะโลกมันเป็นแบบนี้ ถึงยุคถึงคราว ถึงฤดูกาลมันเป็นแบบนี้ มันหมุนไปอย่างนี้ ฤดูกาลมันหมุนไป แต่จิตเรา เรารู้อยู่

รู้อะไร? รู้ฤดูกาลไง ก็ฤดูกาลมันเป็นแบบนี้ แต่จิตเรารู้แล้วเราก็ไม่ไปวิตกกังวลไปกับมัน ฤดูกาลมันจะเปลี่ยนไป จากร้อนมันก็จะเป็นฝน จากฝนมันก็จะเป็นหนาว นี่ฤดูกาลมันหมุนเวียนของมันไป ถึงฤดูกาลมันไป มันเป็นเรื่องโลกไง

แต่หัวใจเราล่ะ เราจะดูแลอย่างไร เราจะดูแลหัวใจของเราอย่างไร

เวลาเราอยู่ด้วยกันนี่นะ มองตากันปริบๆ แต่ความรู้สึกมันอยู่ภายใน มองตากันปริบๆ นะ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แล้วดวงตา เวลามันแสดงออกมา แล้วในหัวใจเราล่ะ ถ้าหัวใจนะ หัวใจ เห็นไหม ดูสิ คนเราเกิดมาอายุสั้นอายุยืนแตกต่างกัน ความรู้สึก เวลาประพฤติ กว่าจิตสงบร่มเย็น บางคนปฏิบัติแล้วจิตร่มเย็นได้ง่าย บางคนปฏิบัติแล้วมันก็ดีดดิ้น ความดีดดิ้นขึ้นมา เราต้องมีสติปัญญาของเรา

แล้วจิตของคนนะ การปฏิบัติของคนไม่ใช่มันจะเจริญแล้วไม่มีเสื่อมเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่ที่เขาจะปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขาก็ได้สร้างสมบุญญาธิการของเขามา เขาต้องทำมา คนที่จะมีเงินมาเขาต้องทำงานมา เราอยู่ดีๆ เราจะมีเงินมาได้อย่างไร ถ้ารับมรดกมาก็บุญกรรมเหมือนกัน พ่อแม่ให้มา แต่ถ้าไม่มีสติปัญญา ให้มาขนาดไหนมันก็ไม่พอใช้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราหาของเราได้

นี่ก็เหมือนกัน คนที่เขาจะประสบความสำเร็จเขาต้องทำหน้าที่การงานของเขามา จิตใจของเรามันจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราทำของเรามา ที่ไหนก็ทำได้ จะอยู่กลางแดดก็ทำได้ อยู่ที่ในน้ำก็ทำได้ อยู่บนฝนก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ฤดูกาลมันจะเป็นไปอย่างไร เราก็ดูแลจิตใจของเราได้

แต่ถ้าเราไม่ได้ทำของเรามา เราคิดว่าเมื่อนั้นๆๆ อ้างอิงไปตลอดเวลา เมื่อไรมันจะร่มเย็นๆๆ แต่มันไม่เคยร่มเย็นสักที แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะร่มเย็นเพราะธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราทำของเรา เราต้องทำของเรา เวลาเราทุกข์เรายากนะ เรามีสติปัญญา

ดูสิ เวลาพระเวสสันดร นี่ตั้งใจจะทำ เขาขับออกจากบ้านจากเรือน สละช้างไปเขาขับออกจากบ้านจากเรือนไปอยู่ในป่า ชูชกตามไปขอ ตามไปขอ ตามไปขอทั้งนั้น แต่โดยหลักเกณฑ์ เห็นไหม ปรารถนาโพธิญาณ ในเมื่อมั่นใจ ในเมื่อเราจะไปข้างหน้าให้ได้ เราจะไปข้างหน้า นี่มันสะเทือนหัวใจมากนะ คนเรา ของรักของหวงทั้งนั้นน่ะ ใครไม่รักไม่หวง คนมีกิเลส ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อันนั้นจบ แต่ยังไม่ได้ตรัสรู้ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มันก็ยังของรักของหวงทั้งนั้นน่ะ นางพิมพาก็ยังรักยังหวง ต้องเสียสละออกไป เสียสละออกไปทั้งนั้นน่ะ

คนเรา เวลาถ้ามันยังมีกิเลสอยู่ มันยังมีความหึงความหวงอยู่ เราอยู่ในใจของเรา เรายังต้องต่อสู้กับมัน มันเป็นหน้าที่การงานทั้งนั้น งานของโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ แบกหาม งานของนักพรตนักบวชเราต้องมีสติปัญญา หึงหวง ความหึงหวง ความดึงดูดของกิเลส ความดึงดูดของใจ เราจะต้องมีสติปัญญาต่อสู้กับมัน

เราไม่ใช่ผู้วิเศษนะ ผู้วิเศษของเขา เขาเคลิบเคลิ้มหลงใหลไป ดูสิ พวกฌานโลกีย์ เขารู้สิ่งใด เขาว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เดี๋ยวมันก็เสื่อมหมด แล้วกิเลสมันเหยียบย่ำ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราไม่ใช่ผู้วิเศษ เราประพฤติปฏิบัติอริยสัจ เราเป็นบุคคลธรรมดา เราเป็นสาวก-สาวกะ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส อยู่ในพุทธศาสนา

พุทธศาสนา องค์ศาสดาของเรา “ในสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด” ในเมื่อประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ไม่มีใครจะเทียบเคียงได้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา แล้วเราศึกษาธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเป็นใคร เป็นศากยบุตรนี่ขอให้ได้เป็นให้ได้จริง แล้วเป็นพุทธชิโนรส ในพุทธศาสนา พระ เป็นพระให้ได้จริง แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราให้ได้จริง มันจะเร่าร้อนขนาดไหนให้มันเร่าร้อนไป แล้วเรามีสติปัญญาของเรา มันจะเร่าร้อนขนาดไหน

ฟืน เวลาจุดไฟเผานะ เวลาเราจุดไฟเผาขยะ เผาฟืน ถ้าขยะมันหมด ไฟมันก็ต้องดับ ถ้าฟืนมันเผาลนหัวใจของเรา เรามีสติปัญญานะ เดี๋ยวมันก็ดับ พอดับแล้วนะ เฮ้อ! เห็นไหม มันผ่านพ้นไปได้

ถ้าเราจะผ่านพ้นเรื่องความเร่าร้อนในหัวใจของเรา เราไม่สำคัญตน การสำคัญตนทางโลก ดูสิ เขามีสมาธิ เขาทำคุณไสยกัน เขาว่าเขาเป็นผู้วิเศษ เขามีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดเป็นเครื่องรางของขลัง นั่นผู้วิเศษของเขา

แต่เวลาเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นมา ทำความสงบของใจมา เพื่อเป็นบาทฐาน เพื่อฝึกหัดใช้ปัญญา เมื่อมีสติ มีสมาธิ แล้วพยายามฝึกฝนปัญญา ในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ รื้นค้นความทุกข์ความยาก ความเกิด ความตาย ความเหงาหงอย เศร้าสร้อยในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สำรอก ให้คายตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ไม่ใช่มีฤทธิ์มีเดช แล้วออกมาสำคัญตน แล้วพอมันเสื่อมแล้วนะ มันก็มีแต่ความเร่าร้อนไง เราไม่ใช่ผู้วิเศษ

ถ้าผู้วิเศษ วิเศษด้วยความหลงใหล แล้วผู้วิเศษด้วยการเอากิเลสตัณหาเหยียบย่ำตนเอง เนี่ย มันยิ่งทุกข์ยิ่งร้อน ถ้าเราไม่มีสิ่งใดสำคัญตนให้เหนือ คำว่าเหนือกิเลสมันล่อก่อนไง ล่อว่าดีกว่า เหนือกว่า เสร็จแล้วมันก็เอาความเหนือกว่าพลิกกลับมาเผาเรา เผาเรา แต่ถ้าเราไม่สำคัญตน ไม่เปิดช่องให้มันได้ออก มีสติปัญญายับยั้งมัน แล้วแยกแยะมัน ทำลายมัน แล้วเราทำตามเป็นจริงขึ้นมา พอมันเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่สัจจะความจริง เวลาทุกข์ ทุกคนรู้อยู่

ทุกข์เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัย สมุทัยตัณหาทะยานอยาก ตัวสมุทัยควรละ ตัวสมุทัย ตัวที่มันเห่อเหิม ตัวที่มันยุแหย่ ตัวที่มันทำลาย ทุกข์มันก็คือทุกข์ ทุกข์เป็นความจริง ดูสิ กลางแดดมันก็ร้อน ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีฤดูกาล มันก็มีอุณหภูมิมันทั้งนั้นแหละ

แต่ไอ้ตัวยุตัวแหย่ ตัวสมุทัยนั่น เราไม่เห็น เพราะอะไร เพราะเราไปเพลิดเพลินกับมัน แต่ถ้าเราไม่สำคัญตนว่าเป็นผู้วิเศษ พอจิตมันสงบเข้าไปแล้ว มันจะดู มันจะแยกแยะของมันเห็นไหม แยกแยะนี่ทุกข์ควรกำหนด กำหนดในอะไร ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เพราะทุกข์มันอาศัยสิ่งนี้ ตัณหาทะยานอยากมันอาศัยสิ่งนี้ออกหากิน เราจับสิ่งใดได้ให้พิจารณาของเราไป มันจะเกิดปัญญา เกิดมรรค

ถ้ามันเกิดมรรคขึ้นมา บุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดาจะเกิดมรรคญาณ เห็นไหม ศากยบุตรพุทธชิโนรส ถ้าทำขึ้นมา ถ้ามันถึงที่สุดเวลาพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย เห็นไหม เวลาสังโยชน์มันขาดไป จากบุคคลธรรมดาเป็นอริยบุคคล เป็นอริยบุคคลเป็นที่ไหน มันเป็นที่ไหน ก็พระเหมือนกันนี่ ก็พระหัวดำๆ นี่ แล้วอันไหนเป็นจริงไม่เป็นจริงล่ะ

เป็นจริงไม่เป็นจริงมันตรวจสอบได้จากคุณธรรม จากคุณธรรมในหัวใจที่ความเป็นจริงอันนั้น มันตรวจสอบได้ การตรวจสอบได้เพราะคุณสมบัติของใจ ถ้าใจมีคุณสมบัติแล้วมันมีค่าของมัน แล้วมันวัดได้ มันดูได้ เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาเราเป็นพระไง ฟังธรรม ฆราวาสเขาหวังมาก เขาหวังจากนักพรต หวังจากพระ พระเป็นผู้ที่ทรงคุณธรรม เราเป็นพระ เราเป็นนักบวช เราเป็นพระป่าด้วย เป็นพระปฏิบัติ ฉะนั้นเราต้องมีสติมีปัญญา พยายามรักษาใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าร่มเย็นเป็นสุข คือความสงบสุขระงับในหัวใจของเรา ถ้าเราร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม

หน่อแห่งพุทธะมันเจริญเติบโตขึ้นมา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร นกกามันจะอาศัย ได้ทั้งอาหาร ได้ทั้งความร่มเย็นเป็นสุข ได้ทั้งเปลือกไม้ทำยา ได้ทุกอย่างจากร่มโพธิ์ร่มไทรนั้น เอวัง